ก่อนที่จะตัดสินใจตั้งราคา ควรรู้ว่าจะใช้ข้อมูลอะไรบ้าง เพื่อประกอบการเสนอราคา เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ให้น่าสนใจ ไม่ใช่นึกอยากจะขายก็ขายไม่มีข้อมูลให้ลูก เช่นกันถ้าเราเป็นผู้ซื้อเราก็ต้องดูข้อมูลให้ครบถ้วน เช่น ยอดขายปีละเท่าไหร่ กำไรขั้นต้นกี่เปอร์เซ็นต์ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เครื่องจักรเครื่องมือ หรือทรัพย์สินมีมูลค่าเท่าไหร่..

เมื่อผมจำเป็นต้องการจะขายกิจการ ผมก็มีปัญหาดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงได้รบกวนท่านผู้รู้ ซึ่งเป็น อจ.ที่ปรึกษาธุรกิจที่คุ้นเคยกัน และท่านก็อนุเคราะห์แนะนำมาดังนี้

***

เรียน อจ....

สินค้าตัวนี้(ไม่ได้ขายทั้งหมด) ปีนี้ ปีที่2 ทำยอดขายทั้งปี 1.8ล้านบาท(หนึ่งล้านแปดแสนบาท)

เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 15%

กำไรหักต้นทุนและค่าใช้จ่ายแล้วเหลือ30%= 540,0000บาท

ขณะที่ตลาดกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงเติบโตได้อีกมาก  เนื่องจาก... และมีฐานลูกค้าเก่าประมาณ 100 ราย ที่วนซื้อซ้ำ

จึงรบกวนขอปรึกษา อจ. ว่า ผมน่าจะคิดค่าการตลาด+แบรน เท่าไหร่ดี (ไม่รวมเครื่องมือของที่เหลือในสต๊อค) 

ตอบ เรียน ....

การตั้งราคาขาย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยนะครับ 

1.เทคนิคการต่อรองแบบ win win

2.ราคาที่จะขายต้องมีประวัติว่าขายมากี่ปี ยอดขายเพิ่มมากขึ้นปีและเท่าไรคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ยอดเติบโต

3.จำนวนลูกค้าที่ซื้อประจำ และฐานจำนวนลูกค้าทั้งหมด และลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี

4.ยอดขายปีละ 1.8 ล้าน กำไร 30%

5.กำลังทรัพย์ของผู้ซื้อและประวัติของผู้ซื้อ

6.การประชาสัมพันธ์ในการหาผู้ซื้อ

7.ต้องระมัดระวังผู้ซื้อที่ไม่สุจริตใจหรืออาจจะหลอกว่าจะซื้อ

8.การคิดค่าการตลาด ค่าแบรนด์ ของในสต๊อก

ให้ตั้งราคากลางที่พอใจ (คำว่าพอใจ หมายถึงมีเหตุและผลที่จะอธิบาย)   
จากข้อ 1-8 ประมาณ 3-6 ล้านบาทขึ้นกับการต่อรอง(win win)และการให้สิทธิ์ทุกอย่างเช่นขายขาด

หรือขายแบบมีเงื่อนไข เช่นแบ่งกำไรให้ทุกปี หรือแบบร่วมทุน
การตั้งราคาที่จะพออธิบายผู้ซื้อให้สนใจได้คือ ขายแล้วคืนทุนภายใน 5 ปี เพราะจะทำให้ผู้ลงทุนสนใจและจะนำไปคิดว่าคุ้มทีจะเสี่ยง เพราะเอาเงินไปฝากก็ได้ผลกำไรไม่เท่าเอามาซื้อธุรกิจที่กำลังเติบโตนะครับ

ปกติ จะคิด ROA รายละเอียดล่างข่างนี้

https://www.graphhoon.com/@ittikorns/492459

ข้อมูลเพิ่มเติม
ข้อมูลนี้เป็นการขายเฉพาะตัวสินค้า(แบรน)

คุณอาจโชคดี ถ้าผมยังไม่ได้ขาย / 19.12.61